วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

5 เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ

การประหารลับ มีอดีตนักโทษและอดีตผู้คุมบางคนยอมรับว่ามีการประหารลับเกิดขึ้นในเกาหลีเหนือ เพื่อไม่ให้คนภายนอก-ภายในรู้การกระทำที่โทษเหี้ยมของรัฐบาล ส่วนมากมักประหารทีละมากๆ และนำศพไปทิ้งในที่ลับตาคน หนึ่งในที่นั้นก็มีที่ราบสูงออนซอค เป็นลานประหารลับในนิคมกักกันที่ 13


อีกทีก็ภูเขาซูกอลในตำบลซัมซอค การประหารลับๆ จะมีขึ้นในกรณีที่นักโทษมีความสัมพันธภาพอันไม่เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ เช่นการมีความสัมพันธ์ทางเพศ จะถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมอย่างลับๆ ตัวอย่างเช่นในทศวรรษที่ 70 เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวทางเพศกับ หญิงสาวในนิคมกักกัน และต้องรักโทษด้วยเหตุนั้น รัฐมนตรีเบียง โด คิม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีมั่งคงของรัฐในเวลานั้น ได้สั่งให้นิคมกักกันทุกแห่งสังหารนักโทษหญิงที่หน้าตาดีทั้งหมด ส่งผลให้มีนักโทษหญิงที่หน้าตาดีรวมทั้งหมด 250 คนในนิคมกักกันตลอดชีวิตที่ 13 ถูกสังหารหมู่ในตอนนั้น
ที่กรมสิบสวนของกอง บัญชาการมั่งคงจังหวัด ว่ากันว่าจะมีคณะเพชฌฆาต ณ ที่นี้ พวกนักโทษจะถูกนำมาประหารลับๆ โดยปราศจากการไต่สวน นอกจากนี้ที่นี้มีห้องกดอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิเพื่อใช้ทรมานนักโทษและ สังหารนักโทษ ห้องที่ว่ามีความกว้างยาวเพียง 60 เซนติเมตร ส่วนความสูงสามารถปรับได้ตามความสูงของนักโทษ ตอนแรกนักโทษจะถูกยัดเข้าไปในกระสอบข้าว และถูกยัดเข้าห้องอีกทีทั้งกระสอบ โดยให้หัวอยู่ระหว่างหัวเข่า การกระทำเช่นนี้มักเกิดขึ้นระหว่างตีหนึ่งถึงตีสอง อุณหภูมิเย็นจัดจะใช้ทรมานในฤดูหนาว ส่วนอุณหภูมิร้อนจะถูกใช้ในหน้าร้อน
มีชายหนุ่มคนหนึ่งถึงกับเสียสติไปจากการถูกทรมานต่อเนื่อง วันหนึ่งเขาบ่นออกมา “ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ ท่านได้ทำอะไรให้ผมบ้าง?” และคืนนั้นเองเขาก็ถูกแช่แข็งตายในห้องนั้น
การประหารสาธารณะ ใน จำนวนพยานที่ให้คำบอกเล่า พบว่าการประหารสาธารณะกรณีเกิดขึ้นบ่อย ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก เห็นได้ชัดเลยว่ามีไว้เพื่อทำให้ประชาชนเกรงกลัว
นักโทษที่จะถูกประหาร อย่างสาธารณะสามารถทำที่ใดก็ได้ในเกาหลีเหนือ ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกนิคมกักกันหรือคุกนักโทษการเมือง นับจนถึงทุกวันนี้ ชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์แต่ละคนได้อ้างว่าเคยเห็นการประหารสาธารณะด้วยตา ตนเองตอนที่อยู่เกาหลีเหนือ ซึ่งการวิธีการประหารในที่สาธารณะนั้นมีหลากหลายนอกจากแขวนคอแล้ว ก็ยังมียิงเป้า, ขว้างก้อนหิน,เผาไฟ
การประหารสาธารณะนั้น เป็นวิธีปฏิบัติมาตรฐานทั้งในและนอกคุก ในแต่ละครั้งที่มีการประหารสาธารณะ นักโทษทั้งหมดจะถูกต้อนมาที่จัตุรัสของเรือนจำเพื่อดูการประหาร นักโทษที่ถูกประหารสาธารณะในคุกส่วนมากทำความผิดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เช่น คนที่วิงวอนขอความตายในขณะถูกทรมาน คนขโมยอาหาร หรือคนที่คร่ำครวญชีวิตลำบากในค่ายกักกัน โดยพวกผู้คุมจะตั้งข้อหา “การขาดความเชื่อมั่นในพรรคของมาตุภูมิ” และถูกตราหน้าว่า “พวกชิ้นส่วนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค” หรือ “พวกมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลง”
ในการประหารสาธารณะ นั้น นักโทษจะถูกมัดปากไว้ก่อนเสมอก่อนถูกประหาร เพื่อที่เขาจะไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้ต่อหน้าสาธารณชนในทุกคดี นักโทษจะถูกซ้อมอย่างทารุณจนเจียนตาย เพื่อที่นักโทษจะไม่สามารถต่อต้านใดๆ ได้ต่อสาธารณชน นอกจากนี้เหยื่อของการประหารมักจะถูกปิดตาเช่นกัน ซึ่งสภาพนักโทษประหารนั้นน่าอนาถ ไปหน้าเต็มไปด้วยแผลและเลือด พวกเขาดูเหมือนสัตว์ป่ามากกว่ามนุษย์ ใครมาเห็นต่างอยากร้องไห้ให้กับพวกเขา
บางครั้งจะมีผู้ควบคุมนิคมเดินขึ้นบนแท่น และเริ่มอ่านคำพิพากษาโทษ
“ชาย ผู้นี้(ชื่อ และสถานที่เกิด และอื่นๆ) สมองปนเปื้อนอย่างรุนแรงด้วยอุดมการณ์ทุนนิยมอันฉ้อฉลในฐานะนักศึกษา และยังเผยแพร่ถ้อยคำต่อต้านรัฐ แม้กระนั้นก็ตาม ทางพรรคก็ยังปราณี และตัดสินใจที่จะให้อภัยให้เขาโดยให้เขาได้รับการปลูกฝังอุดมการณ์ใหม่ แต่ไอ้สัตว์ที่เนรคุณนี้กลับทรยศความเมตตาของพรรค ปฏิเสธที่ยื่นความช่วยเหลือให้ และพยายามจะแปรพักตร์ เมื่อพรรคอ้าแขนเพื่อจะโอบกอดเขา เขาก็ผลักไสมันเสีย อย่างนี้จะให้อภัยให้ได้อย่างไรกัน โทษสาสมกับเขาคือความตาย ไม่มีทางอื่น!”
และ วิธีที่ปฏิบัติ ส่วนมากมักจะเป็นการยิงเป้ามากกว่าจะแขวนคอ นักโทษจะถูกมัดติดกับเสาในตำแหน่งหน้าอก เอว และเข่า ผู้คุม 3-6 คนจะยิงคนละ 3 นัดเข้าที่หน้าอกของนักโทษ รวมทั้งสิ้น 18 นัด พอเชือกมัดที่อยู่ตำแหน่งหน้าอกขาดกระจุยเพราะกระสุน ส่วนบนของร่างกายก็เอนลงนอนลงมาพร้อมเลือดที่ไหลนอง เหมือนท่อนซุงผุๆ ที่หักกลาง ในขณะที่ส่วนล่างยังคงถูกยึดไว้กับเสาโดยมีเชือกที่อยู่ตำแหน่งต่ำลง ไป(เพื่อความมั่นใจว่าตายจริงเจ้าหน้าที่จะเอาปืนพกยิงอีกครั้งที่ศีรษะ เพื่อให้นักโทษตายจริงๆ) จากนั้นนักโทษทั้งหมดก็จะถูกสั่งให้เดินรอบๆ ร่างไร้ชีวิตและมองดูร่างนั้น
เนื่องจากลานประหาร นั้นแออัดไปด้วยนักโทษ พวกผู้หญิงที่อยู่แถวหน้าต้องดูการประหารจากระยะเพียง 1 เมตรหรือ 1 เมตรเศษๆ เท่านั้น หลายครั้งนักโทษหญิงเหล่านี้มักจะโดนเลือดสาดกระเซ็นมาบนพวกเธอ นักโทษบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตจากการเห็นการประหารสาธารณะ อาเจียน เป็นลม ซึ่งนักโทษหญิงพวกนั้นก็จะถูกตั้งข้อหาเช่นกัน โดยตั้งข้อหาเป็น “แสดงออกซึ่งความเห็นใจต่อศัตรูของประชาชน” คนที่วิกลจริตโดยสิ้นเชิงจะหายตัวไป และไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอเหล่านั้น


“ใน เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1985 ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คน พยายามหนีออกนอกประเทศ และถูกจับตัวได้บริเวณภูเขาภายในเขานิคมกักกัน 3 วันถัดมา ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณย่า ลูกชายของเธอ และหลานอีก 3 คน นักโทษทั้งหมดถูกสั่งให้มารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำโดยมีผู้คุมถืออาวุธล้อมรอบ มีปืนกลตั้งอยู่สี่มุมในบริเวณนั้น จากนั้นคุณย่าและลูกชายของเธอก็ถูกแขวนคอ ส่วนหลานอีกสามคนซึ่งล้วนอายุไม่ถึง 10 ขวบถูกยิง ศพของพวกเขาถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน และคลุมด้วยเสื่อฟาง แล้วก็มีนักโทษคนหนึ่งเอาหินขว้างไปที่ศพๆ หนึ่ง ในไม่ช้านักโทษคนอื่นๆ ก็เริ่มเอาหินขว้างบ้าง มันช่างทุเรศและอัปยศยิ่งนัก นักโทษทุกคนต่างกลัวหากไม่ทำเช่นนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น