วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10 ข้อมูลเหลือเชื่อ...เกี่ยวกับ “คิม จอง อิล” ผู้นำ เกาหลีเหนือ

10 ข้อมูลเหลือเชื่อ... เกี่ยวกับ “คิม จอง อิล” ผู้นำ

เกาหลีเหนือ

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/bigeye2009/2010/12/16/entry-2
คิม จอง อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือ ชาติที่ขึ้นชื่อว่าลี้ลับที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เขาชื่นชอบการดูสาวเอ๊าะๆเต้นระบำโป๊เคล้าเสียงเพลงมะกันมากๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มของผู้นำจอมเพี้ยนผู้ล่วงลับคนนี้เท่านั้น ซึ่งบอกได้เลยว่ายังมีอีกหลายลูกบ้าที่คุณคาดไม่ถึง และเราก็ได้รวม 10 เรื่องบ้าๆของผู้ชายชื่อ "คิม จอง อิล" มาไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้ว
10. เกิดมาพร้อมปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ!!!
แค่เกิดมาก็บ้าแล้วง่ายๆ เริ่มต้นอันดับ 10 ของทีมงาน toptenthailand ในบทเรียนหนังสือ ประวัติศาสตร์เกาหลีเหนือเขียนว่าท่านผู้นำคิม จอง อิล เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1941 ในฐานลับบนยอดเขาเบคคู Mt Paekdu ภูเขาศักดิ์สิทธิ์และสูงที่สุดของเกาหลีเหนือ ในขณะที่เขาเกิด ได้ปรากฏปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติ คือเกิดดาวดวงใหญ่ส่องแสง สว่างบนท้องฟ้า ฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิและมีรุ้งกินน้ำ 2 เส้นพาดผ่านภูเขาด้วย หากแต่มีการโต้แย้งในประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่ง โดยเขียนไว้ว่าเขาเกิดค่ายกองโจรในไซบีเรียต่างหากล่ะ
9. เป็นผู้คิดค้นแฮมเบอร์เกอร์???
น่าขำสิ้นดี อันดับ 9 ของทีมงาน toptenthailand มีรายงานจากเกาหลีเหนือว่าคิม จอง ฮิลเป็นผู้คิดค้นแฮมเบอร์เกอร์ แน่นอน คุณก็รู้ว่ามันไม่จริง เพราะแฮมเบอร์เกอร์น่ะมีมานานเป็นหลายร้อยปีแล้วมั้งแต่คุณอย่าลืมว่า ประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด ประชาชนที่นั้นยังไม่รู้เลยว่าเกย์ (Gay) คืออะไร มีหรือว่าพวกเขาจะรู้จักคำว่าแฮมเบอร์เกอร์ ยิ่งประเทศสั่งห้ามวัฒนธรรมอเมริกาทั้งหมด ประชาชนยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ว่าแฮมเบอร์เกอร์รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง หนังสือพิมพ์เกาหลีเหนือ Minju Joson ราย ฃงานว่าคิม จอง อิลค้นค้นแซนด์วิซแบบใหม่เรียกว่า “ขนมปังคู่กับเนื้อ” และพยายามส่งเสริมว่าเป็นอาหารที่มีคุณภาพสำหรับนักศึกษา แล้วเขาก็ได้สร้างโรงงานที่สามารถผลิตแฮมเบอร์เกอร์ให้กับนักเรียน และเหล่าอาจารย์ ทั้งๆ ที่ประชาชนของประเทศอยู่ในสภาพอดอยากปากแห้ง
8. นักกอล์ฟที่เก่งที่สุดในโลก
ไทเกอร์ วูด ยังต้องอาย เมื่อเราได้รู้ข่าวนี้ว่า คิม จอง อิล เป็นนักกอล์ฟที่เก่งที่สุดในโลก เป็นเรื่องเพี้ยนๆในอันดับ 8 ของทีมงาน toptenthailand ในปี 1994 มีรายงานจากสื่อเปียงยางว่าผู้นำของเขาทำโฮลอินวันมาแล้วถึง 5 หลุมใน 18 หลุม ในการออกรอบเพียงครั้งเดียว และมีรายงานว่าเขามักทำโฮลอินวัน 3-4 หลุมประจำ แถมข่าวจากรัฐบาลโสมแดงยังบอกอีกว่าผู้นำเกาหลีเหนือ ออกรอบตีกอล์ฟมากกว่าใครหน้าไหนในโลกมนุษย์ (คงจะว่างจัดมากแน่ๆ)
7. ผลกระทบเพี้ยนๆหลังอุบัติเหตุ
โชคดีที่ไม่ได้เกิดเป็นคนสนิทของผู้นำลูกบ้าคนนี้ อันดับ 7 ของทีมงาน toptenthailand ในหนังสือพิมพ์กล่าวบทสัมภาษณ์อดีตคนใกล้ชิด คิม จอง อิล ว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บหลังประสบอุบัติเหตุระหว่างขี่ม้า ซึ่งเขากลัวยาแก้ปวดมาก เขาเลยสั่งสมาชิกผู้บริหารกว่าครึ่งโหลฉีดยาแบบเดียวกันกับเขาทุกวัน ภายใต้เหตุผลที่ว่า ถ้าเขาเป็นอะไร เขาก็จะไม่เป็นเพียงลำพัง นี้มันบ้าชัดๆ!!!
6. ลักพาตัวผู้กำกับมาสร้างหนังให้ดู
ในดินแดนที่มีการปกครองแบบพิสดารอย่างเกาหลีเหนือ แน่นอนว่าภาพยนตร์สนุกๆซักเรื่องคงไม่มีวันได้โผล่ออกมาให้เห็น เป็นที่มาของอันดับ 6 ของทีมงาน toptenthailand ในปี 1978 ว่ากันว่า คิม จอง อิล คือผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัว Shin Sang-Ok ผู้กำกับคนดังแห่งเกาหลีใต้จากเกาะฮ่องกง มายังเกาหลีเหนือแล้วถูกส่งเข้าคุกและถูกบังคับให้ทำหนังแนวเพี้ยนให้เขาดู เรื่อง “พูลกาซารี” ก็ก็อตซิล่าเกาหลีนั้นแหละ โดยเนื้อหาเป็นตุ๊กตาฟางรูปสัตว์ประหลาดที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ ถล่มบ้านเรือนเกาหลีเหนือ และสู้กับทรราชที่กดขี่ประชาชน ซึ่งเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อคอมมิวนิสต์ และท่านผู้นำมีการวางแผนสร้างเป็นการ์ตูนด้วย
5. เป็นผู้นำเข้าคอนยัคอันดับ 1 ของโลก
ยัง!! ยังไม่หมดง่ายๆเรื่องบ้าๆของคิม จอง อิล ในอันดับ 5 ของทีมงาน toptenthailand คิม จอง อิลได้ขึ้นเชื่อว่าเป็นผู้นำเข้าคอนยัคบรั่นดียอดนิยม อันดับ 1 ของโลก ในช่วงปี 1990 มีการยืนยันว่า คิม จอง อิล จ่ายเงินไป 600,000 ถึง 850,000 ดอลลาร์ต่อปี เพื่อคอนยัคของเฮนเนสซี่ ซึ่งมันมีราคา 700 ดอลลาร์ต่อขวด ซึ่งประชาชนในประเทศเกาหลีเหนือมีรายได้เฉลี่ย 1000 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น คนในประเทศกำลังจะตาย 5 (ห้า) กันหมดประเทศแล้วโว้ย
4. สร้างสายเลือดคนรุ่นใหม่ที่เข้มแข็งให้ประเทศ
ฟังดูเหมือนดีนะ แต่อ่านอันดับ 4 ของทีมงาน toptenthailand ดูก่อน เกาหลีเหนือพยายามที่จะทำให้เยาวชนและเหล่านักเรียนเขามีจิตใจที่เข้มแข็งและร่างกายสมบูรณ์ ดังนั้น ในปี 1989 เขาสั่งให้คนพิการทั้งหมดออกจากกรุงเปียงยาง เนื่องจากเขาต้องการได้สายเลือดบริสุทธิ์ แข็งแกร่ง สุขภาพดี เสมือนเคยเป็นแผนหนึ่งของฮิตเลอร์ในการสร้างชาติพันธุ์อารยัน ในสงครามโลกครั้งที่ 2 .....
3. เกาหลีเหนือในฟุตบอลโลก
อย่างที่รู้ๆ กันว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด แต่กระนั้นฟุตบอลของเขาก็ได้ไปบอลโลกรอบสุดท้ายสำเร็จจนได้ (ไม่เหมือนประเทศไหนไม่รู้ ที่คุยฟุ้งจะไปบอลโลกแต่ไม่เคยได้ไปซะที) ในอันดับ 3 ของทีมงาน toptenthailand หลังจากที่เคยเข้ารอบสุดท้ายยาวนานถึง 44 กว่าปี แต่เนื่องจากท่านผู้นำคิม จอง อิล ไม่อยากให้ประชาชนเห็นความ เจริญของโลกภายนอก ผู้นำบ้า เลยจัดการเซ็นเซอร์และให้ประชาชนชาวเกาหลีเหนือจะได้ดูแค่แมตช์ของทีมบ้านเกิดตัวเองเตะเท่านั้น นอกจากนั้นจะต้องมีการบอกให้ทีมบอลเกาหลีเหนือเล่นฟุตบอลให้เหนือกว่าคู่แข่งด้วย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเพื่อนร่วมสายของเกาหลีเหนือมีทั้ง บราซิล ไอวอรี่โคสต์ และโปรตุเกส มันสายนรกชัดๆ แล้วเกาหลีเหนือจะเอาอะไรไปชนะเค้าเนี้ย!!
2. เพาะพันธุ์กระต่ายช่วยชาติ!!!
คิดได้ไงวะครับ อันดับ 2 ของทีมงาน toptenthailand ในปี 2006 นักเพาะพันธุ์กระต่ายรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศเยอรมัน ได้รับการติดต่อจากรัฐบาลเปียงยาง ว่าจะขอซื้อกระต่ายขนฟูทั้งหมด 12 ตัว โดยทั้งหมดนั้นเป็นแผนของนายคิม ที่ตั้งใจจะผสมพันธ์กระต่ายด้วยตนเอง เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตในภาวะที่ข้าวยากหมากแพง (12 ตัวจะพอกินไหมกับคนทั้งประเทศไหมเนี่ย) แม้ว่าผู้ขายจะเตือนว่า การนำกระต่ายไปผสมพันธุ์เพื่อกินเนื้อ จะทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะเจ้าพวกนี้มีแต่ขนพองๆฟู ส่วนเนื้อที่กินได้กลับมีปริมาณเพียง 5 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งพวกมันยังจะพาคนเลี้ยงจนอีกด้วย เพราะวันๆเล่นเขมือบมันฝรั่งกับแครอทเป็นปริมาณมากๆ แต่สุดท้ายเฮียคิมก็ยังจะสั่งเอากระต่ายน้อยน่ารักมากินจนได้ เฮ้อ!!!
1. หมู่บ้านจอมปลอม
และสุดท้ายในอันดับ 1 ของทีมงาน toptenthailand คีจอง ดอง (Kijong - Dong) เป็นหมู่บ้านที่ใช้โฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือ สร้างขึ้นเมื่อปี 1950 โดยพ่อของคิล จอง อิล ที่คุณเห็นสารคดีหรืออะไรส่วนใหญ่มักจะเป็นหมู่บ้านนี้เป็นหลัก แบบว่าเขาต้องการให้ภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือดูดี เลยใช้งบประมาณมหาศาลสร้างหมู่บ้านสักแห่งให้เป็นหมู่บ้านในฝัน (ลวงตา) ให้ชาวโลกได้เห็นหมู่บ้านนี้อะไรก็ดีหมด มี 200 ครอบครัว มีฟาร์ม, ศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก, อนุบาล, ประถมมัธยม และโรงพยาบาล เราจะเห็นเป็นบ้านหลายหลังใช่เปล่าครับ แต่ความจริงไม่มีคนอยู่หรอกเป็นแค่ของปลอมสร้างไว้งั้นๆ ไม่มีกระจก ภายในก็มีคอนกรีตหลอกๆ โฆษณาว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีความสะดวกทั้งไฟฟ้าและน้ำ ทั้งๆ ที่หมู่บ้านจริงๆส่วนใหญ่ในเกาหลีเหนือเลวร้ายมากๆ ไม่มีทั้งน้ำทั้งไฟ แล้วเห็นเสาไฟฟ้าใหญ่ๆ สูงๆ เด่น นั้นก็คือลำโพงขนาดใหญ่ที่จะเปิดสุนทรพจน์, โฆษณาชวนเชื่อ,โอเปร่า และเพลงชาติทุกวัน ล้างสมองประชาชนทุกวันให้เบื่อไปเลย........
**หมายเหตุ 
ข้อมูลทั้งหมดที่ทาง toptenthailand.com นำเสนอได้มาจากการสำรวจความคิดเห็นเชิงสถิติ ด้วยขั้นตอนที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ของหัวข้อนั้นๆ ทางเว็บไซต์ toptenthailand.com มิได้มีเจตนาที่จะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวเพื่อชี้นำ หรือ ก่อให้เกิดความแตกแยกใดๆ ในสังคมทั้งสิ้น เราและทีมงานเพียงแต่ต้องการนำเสนอข้อมูลทางสถิติที่เรารวบรวมเพื่อเป็นสาระ และเป็นการสะท้อนอีกด้านหนึ่งของสังคม ให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต และประชาชน ทั่วไปรับชมเท่านั้น (โปรดใช้วิจารณญาณในการชม และบริโภคข้อมูลจาก toptenthailand.com) และหรือในบางกรณี www.toptenthailand.com จะทำหน้าที่ เป็นสื่อกลางในการรวบรวม และนำเสนอข้อมูลในการจัดอันดับที่มีอยู่แล้วในสื่อต่างๆ ทั้งทาง Internet และสิ่งพิมพ์ โดยเราจะอ้างอิง ให้เครดิต ถึงแหล่งที่มาในทุกๆ ครั้งไป

หนีตาย คุกเกาหลีเหนือ

หนีตาย คุกเกาหลีเหนือ
ตัวเอกของเล่มนี้คือ Shin In Geun (เขามีอีกชื่อว่า Shin Dong-hyuk เราไม่แน่ใจว่าชื่อไหนเป็นชื่อก่อนเขาจะเปลี่ยนชื่อ) เขา  เป็นหนุ่มชาวเกาหลีเหนือคนแรกที่รอดออกมาจากค่ายกักกัน ค่ายที่14*  ซึ่งเกาหลีเหนือยืนยันมาเสมอว่า ค่ายกักกันเหล่านี้ไม่มีจริง แต่ประชาคมโลกก็รู้ว่ามี โดยดูได้จากภาพถ่ายดาวเทียม และจากคนที่เคยถูกจับคุมขังที่นั่น ก่อนโดนปล่อยตัว (และหลังจากนั้นก็หนีออกนอกเกาหลีมาได้ ) แต่ก่อนหน้าที่  Shin In Geun (ขอเรียกว่า "ชิน" นะคะ) จะหนีจากค่ายกักกันนี้มาได้ ไม่เคยมีใครหนีออกมาได้เลย แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวด และการจับตายคนที่ต้องการจะหนีออกจากค่ายกักกัน
*ค่าย14 ยังถือว่าเป็นค่ายที่อยู่ในระดับดีกว่าค่ายอื่นชินต่างจากคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ ที่เกือบทั้งหมดเคารพรักท่านผู้นำสูงสุด ร้องไห้ปลื้มปิติว่าท่านผู้นำเป็นพ่อพระเป็นเจ้าชีวิต เป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งปวง , เกาหลีใต้มันแค่ประเทศโสเภณีเมืองขึ้นของอเมริกา และพวกอเมริกาเลวเหมือนหมา (อันนี้คือที่เขาฝังหัวคนเกาหลีเหนือนะคะ ไม่ได้พูดเอง -3-) ชินไม่สนเรื่องพวกนี้...เพราะเขาเกิดในค่ายกักกัน ผู้คุมจับนักโทษให้คู่กันจนกำเนิดเขามาเพื่อใช้เป็นแรงงาน (นักโทษเหล่านี้จะกลายเป็นแรงงานชั้นต่ำเกิดและตายในที่กักกัน) เขาถูกฝังหัวว่า การเกิดของเขาเป็นบาปของพ่อแม่  เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ไม่เคยรู้ว่าประเทศคืออะไร  เกาหลีใต้คืออะไร อเมริกาคืออะไร และ ท่านผู้นำคือใคร? สิ่งที่เขาเรียนรู้ในค่ายกักกัน คือการเอาชีวิตรอด แย่งชิง ฟ้องความผิดกันเพื่อให้ได้ประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด  เขาขโมยอาหารแม่กินให้ได้มากที่สุดและบ่อยครั้งที่สุด ถึงแม้แม่จะกลับมาแล้วทำร้ายที่เขาขโมยอาหารส่วนของเธอกินก็ตาม   เขามองเด็กหญิงร่วมห้องที่ถูกตีจนตายหลังขโมยเมล็ดข้าวโพด 5 เมล็ดแล้วครูจับได้  เขาคิดในใจว่าครูไม่ผิด และเด็กหญิงก็โชคร้ายที่ตาย

เขามองดูแม่ที่ถูกแขวนคอ และพี่ชายที่ถูกยิงเป้า
(ข้อหาที่จะคิดจะหนีออกจากค่ายกักกัน)
พลางคิดในใจว่า "สาสมแล้ว"
ชีวิตเขาในค่ายกักกัน (ซึ่งไม่ใช่กรงขัง แต่เป็นมีทั้งเรือนนอน อาคารเรียนเล็กๆ ที่ได้เรียนแค่บวกกับลบและการอ่านเบื้องต้น นอกนั้นคือออกไปใช้แรงงานและรายงานความผิดของตัวเองในทุกวัน) ไม่เคยฝันถึงอนาคต เขาคิดแค่ว่า ต้องให้ท้องอิ่มมากที่สุด...ก็ได้บังเอิญพบปะกับปาร์ค ที่เคยอยู่ในกลุ่มชนชั้นอภิสิทธิ์ในเกาหลีเหนือ แต่ดวงตกอับจนมาเจอกับชินในสถานที่แห่งนี้   เมื่อปาร์คพบว่า ชิน ไม่รู้จักแม้กระทั่งเปียงยาง (เมืองหลวงของเกาหลีเหนือเอง) เขาก็ได้เล่าเรื่องโลกภายนอกให้ชินฟัง เรื่องประเทศต่างๆ ที่ปาร์คไปเยือน เรื่องของทะเล สถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจ..ชินไม่ได้สนใจโลกภายนอกเหล่านั้น... ที่เขาสนใจและอยากจะฟังบ่อยๆ คือ "อาหาร" อาหารที่เขาจะหากินได้ทันทีที่หิว สถานที่ที่เขาจะไปนั่งและสั่งของกินหลากหลายได้  (ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเงินตราที่ต้องใช้แลกก็ตาม)

เขายอมรับว่า ที่เขาหนีนั้น มีแรงผลักดันเพียงอย่างเดียวคือ "เนื้อ"
เขาอยากกินเนื้อ อยากหาอะไรกินให้อิ่มท้อง

ก่อนหน้าจะเจอปาร์ค เขาไม่เคยคิดจะหนี เขาคิดแค่ว่า ทำอย่างไรให้ท้องอิ่ม แต่เมื่อเจอปาร์ค ชินคิดจะออกไปให้พ้นจากที่นี่ เพื่อได้เจออาหารที่จะทำให้เขาหายหิวได้...เขาหนีสำเร็จ ..ความโชคร้ายของปาร์คเป็นความโชคดีของเขา เขาใช้ร่างของปาร์คที่เสียชีวิตจากระแสไฟฟ้าของลวดไฟฟ้าที่กำแพงลวดหนามนั้น เป็นดังฉนวน แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่นั้นเขาต้องพเนจรไร้ทิศทาง และยังอดอยาก จากการต้องหลบๆ ซ่อนๆ หนีไปจนถึงจีน และโชคก็เข้าข้างเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาก้าวเข้าไปร้านอาหารจีนเพื่อของานและขออาหาร พนักงานสาวไล่ให้เขาไปคุยกับลูกค้าที่นั่งกินอยู่ "ลองถามเขาดู เขาเป็นคนเกาหลี" ชินเดินเข้าไปบอกว่าเขาเป็นคนเกาหลีเหนือ เขาไม่มีงานและไม่มีอาหาร

ลูกค้าชาวเกาหลีนั้น ถามเขาว่า จริงหรือ พร้อมกับควักสมุดออกมาจดข้อมูล ชินสับสนงุนงงเมือถูกซักถามมากมาย  "อยากจะไปเกาหลีใต้ไหม?" ฝ่ายนั้นถาม ชินตอบอย่างไม่เต็มใจนัก "ผมไปไม่ได้ ผมไม่มีตังค์.." เขาตอบเพราะเขารู้จักเกาหลีใต้จากที่ปาร์คเล่าแล้วและคิดด้วยซ้ำว่าจะไป แต่ปาร์คนั้นเสียชีวิต ทำให้เขาต้องมาติดแหง่กอยู่ในจีนนี่แหล่ะ....ลูกค้าคนนั้นพาเขาขึ้นแท็กซี่ ไปยังน่าสถานที่แห่งนึงที่มีแต่ตำรวจจีนเต็มไปหมด ชินตระหนกตกใจ ระหว่างการหลบหนีเขารู้ดีว่า ถ้าถูกทางจีนจับได้เขาถูกส่งกลับเกาหลีเหนือพร้อมกับโทษฑัณฑ์ที่อาจถึงตาย!
Photobucket
แต่ลูกค้าชาวเกาหลีใต้ที่แท้จริงนั้นเป็นนักข่าว...เขาพาชินมายังสถานฑูตเกาหลีใต้ในจีน ผ่านเหล่าตำรวจจีนเข้าสู่ตัวอาคารของสถานฑูตได้อย่างปลอดภัย* และเวลานานหลายชม.กว่าชินจะเข้าใจสถานภาพของตัวเองว่า เขาจะได้รับการคุ้มครองและสิทธิของความเป็นมนุษย์แล้ว...(เพราะเขาไม่รู้จักสถานฑูตและไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะช่วยเขาท้องอิ่มได้อย่างไร)

*ด้วยความเกรงใจเกาหลีเหนือ จีนเลยมีกองกำลังตำรวจ คอยดักจับคนเกาหลีเหนือ ที่จะเข้าไปในสถานฑูตเกาหลีใต้เพื่อขอลี้ภัยไปเกาหลีใต้ (ตั้งกันอยู่หน้าสถานฑูตเลย) แต่ถ้าเข้าไปได้แล้ว พวกจีนก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ฉะนั้นถ้าเนียนเป็นคนเกาหลีใต้หรือชาติอื่นๆ เข้าไปได้ถึงภายในได้ก็รอดแล้วค่ะ
เรื่องราวของชินไม่ได้จบแค่นี้ เมื่อมาถึงเกาหลีใต้ ชินก็เหมือนชาวเกาหลีเหนือจำนวนมาก ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่แปรเปลี่ยนไป ไม่รู้จักที่จะรับผิดชอบหรือยอมรับความผิดตัวเอง (เพราะพวกเขาถูกสอนให้จับผิดกัน) ไม่รู้จักความรัก ความเมตตากรุณา...แต่เมื่อพวกเขารู้จักแล้ว ความรู้สึกผิด ก็หลอกหลอนจิตใจเขาไปจนตาย  สำหรับชินแล้ว  การตายของ แม่ พี่ชาย แม้กระทั่งปาร์ค ล้วนแต่เป็นฝันร้ายในชีวิตเขา...และพ่อที่เขาไม่แยแสไม่ผูกพันจะเป็นอย่างไรหลังจากเขาหนีออกไป (ที่นั่น ถ้ามีใครหนีไป ครอบครัวทั้งหมด 3 ชั่วคนจะโดนลงโทษ และที่พ่อเขาติดคุกเพราะพี่ชาย 2คน หรือก็คือลุงของชินนั้น หนีไปเกาหลีใต้นั่นเอง) ชีวิตของชินยังต้องเจอเรื่องราวอีกมากมายและเขาเป็น 1 ในผู้โชคดีไม่กี่คน (จากประชากร 23 ล้านคนของเกาหลีเหนือ) ที่รอดมาได้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวภายใต้หมอกพรางตาของประเทศอันเล้นรับนั้น

5 เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ

การประหารลับ มีอดีตนักโทษและอดีตผู้คุมบางคนยอมรับว่ามีการประหารลับเกิดขึ้นในเกาหลีเหนือ เพื่อไม่ให้คนภายนอก-ภายในรู้การกระทำที่โทษเหี้ยมของรัฐบาล ส่วนมากมักประหารทีละมากๆ และนำศพไปทิ้งในที่ลับตาคน หนึ่งในที่นั้นก็มีที่ราบสูงออนซอค เป็นลานประหารลับในนิคมกักกันที่ 13


อีกทีก็ภูเขาซูกอลในตำบลซัมซอค การประหารลับๆ จะมีขึ้นในกรณีที่นักโทษมีความสัมพันธภาพอันไม่เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ เช่นการมีความสัมพันธ์ทางเพศ จะถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมอย่างลับๆ ตัวอย่างเช่นในทศวรรษที่ 70 เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวทางเพศกับ หญิงสาวในนิคมกักกัน และต้องรักโทษด้วยเหตุนั้น รัฐมนตรีเบียง โด คิม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีมั่งคงของรัฐในเวลานั้น ได้สั่งให้นิคมกักกันทุกแห่งสังหารนักโทษหญิงที่หน้าตาดีทั้งหมด ส่งผลให้มีนักโทษหญิงที่หน้าตาดีรวมทั้งหมด 250 คนในนิคมกักกันตลอดชีวิตที่ 13 ถูกสังหารหมู่ในตอนนั้น
ที่กรมสิบสวนของกอง บัญชาการมั่งคงจังหวัด ว่ากันว่าจะมีคณะเพชฌฆาต ณ ที่นี้ พวกนักโทษจะถูกนำมาประหารลับๆ โดยปราศจากการไต่สวน นอกจากนี้ที่นี้มีห้องกดอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิเพื่อใช้ทรมานนักโทษและ สังหารนักโทษ ห้องที่ว่ามีความกว้างยาวเพียง 60 เซนติเมตร ส่วนความสูงสามารถปรับได้ตามความสูงของนักโทษ ตอนแรกนักโทษจะถูกยัดเข้าไปในกระสอบข้าว และถูกยัดเข้าห้องอีกทีทั้งกระสอบ โดยให้หัวอยู่ระหว่างหัวเข่า การกระทำเช่นนี้มักเกิดขึ้นระหว่างตีหนึ่งถึงตีสอง อุณหภูมิเย็นจัดจะใช้ทรมานในฤดูหนาว ส่วนอุณหภูมิร้อนจะถูกใช้ในหน้าร้อน
มีชายหนุ่มคนหนึ่งถึงกับเสียสติไปจากการถูกทรมานต่อเนื่อง วันหนึ่งเขาบ่นออกมา “ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ ท่านได้ทำอะไรให้ผมบ้าง?” และคืนนั้นเองเขาก็ถูกแช่แข็งตายในห้องนั้น
การประหารสาธารณะ ใน จำนวนพยานที่ให้คำบอกเล่า พบว่าการประหารสาธารณะกรณีเกิดขึ้นบ่อย ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก เห็นได้ชัดเลยว่ามีไว้เพื่อทำให้ประชาชนเกรงกลัว
นักโทษที่จะถูกประหาร อย่างสาธารณะสามารถทำที่ใดก็ได้ในเกาหลีเหนือ ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกนิคมกักกันหรือคุกนักโทษการเมือง นับจนถึงทุกวันนี้ ชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์แต่ละคนได้อ้างว่าเคยเห็นการประหารสาธารณะด้วยตา ตนเองตอนที่อยู่เกาหลีเหนือ ซึ่งการวิธีการประหารในที่สาธารณะนั้นมีหลากหลายนอกจากแขวนคอแล้ว ก็ยังมียิงเป้า, ขว้างก้อนหิน,เผาไฟ
การประหารสาธารณะนั้น เป็นวิธีปฏิบัติมาตรฐานทั้งในและนอกคุก ในแต่ละครั้งที่มีการประหารสาธารณะ นักโทษทั้งหมดจะถูกต้อนมาที่จัตุรัสของเรือนจำเพื่อดูการประหาร นักโทษที่ถูกประหารสาธารณะในคุกส่วนมากทำความผิดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เช่น คนที่วิงวอนขอความตายในขณะถูกทรมาน คนขโมยอาหาร หรือคนที่คร่ำครวญชีวิตลำบากในค่ายกักกัน โดยพวกผู้คุมจะตั้งข้อหา “การขาดความเชื่อมั่นในพรรคของมาตุภูมิ” และถูกตราหน้าว่า “พวกชิ้นส่วนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค” หรือ “พวกมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลง”
ในการประหารสาธารณะ นั้น นักโทษจะถูกมัดปากไว้ก่อนเสมอก่อนถูกประหาร เพื่อที่เขาจะไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้ต่อหน้าสาธารณชนในทุกคดี นักโทษจะถูกซ้อมอย่างทารุณจนเจียนตาย เพื่อที่นักโทษจะไม่สามารถต่อต้านใดๆ ได้ต่อสาธารณชน นอกจากนี้เหยื่อของการประหารมักจะถูกปิดตาเช่นกัน ซึ่งสภาพนักโทษประหารนั้นน่าอนาถ ไปหน้าเต็มไปด้วยแผลและเลือด พวกเขาดูเหมือนสัตว์ป่ามากกว่ามนุษย์ ใครมาเห็นต่างอยากร้องไห้ให้กับพวกเขา
บางครั้งจะมีผู้ควบคุมนิคมเดินขึ้นบนแท่น และเริ่มอ่านคำพิพากษาโทษ
“ชาย ผู้นี้(ชื่อ และสถานที่เกิด และอื่นๆ) สมองปนเปื้อนอย่างรุนแรงด้วยอุดมการณ์ทุนนิยมอันฉ้อฉลในฐานะนักศึกษา และยังเผยแพร่ถ้อยคำต่อต้านรัฐ แม้กระนั้นก็ตาม ทางพรรคก็ยังปราณี และตัดสินใจที่จะให้อภัยให้เขาโดยให้เขาได้รับการปลูกฝังอุดมการณ์ใหม่ แต่ไอ้สัตว์ที่เนรคุณนี้กลับทรยศความเมตตาของพรรค ปฏิเสธที่ยื่นความช่วยเหลือให้ และพยายามจะแปรพักตร์ เมื่อพรรคอ้าแขนเพื่อจะโอบกอดเขา เขาก็ผลักไสมันเสีย อย่างนี้จะให้อภัยให้ได้อย่างไรกัน โทษสาสมกับเขาคือความตาย ไม่มีทางอื่น!”
และ วิธีที่ปฏิบัติ ส่วนมากมักจะเป็นการยิงเป้ามากกว่าจะแขวนคอ นักโทษจะถูกมัดติดกับเสาในตำแหน่งหน้าอก เอว และเข่า ผู้คุม 3-6 คนจะยิงคนละ 3 นัดเข้าที่หน้าอกของนักโทษ รวมทั้งสิ้น 18 นัด พอเชือกมัดที่อยู่ตำแหน่งหน้าอกขาดกระจุยเพราะกระสุน ส่วนบนของร่างกายก็เอนลงนอนลงมาพร้อมเลือดที่ไหลนอง เหมือนท่อนซุงผุๆ ที่หักกลาง ในขณะที่ส่วนล่างยังคงถูกยึดไว้กับเสาโดยมีเชือกที่อยู่ตำแหน่งต่ำลง ไป(เพื่อความมั่นใจว่าตายจริงเจ้าหน้าที่จะเอาปืนพกยิงอีกครั้งที่ศีรษะ เพื่อให้นักโทษตายจริงๆ) จากนั้นนักโทษทั้งหมดก็จะถูกสั่งให้เดินรอบๆ ร่างไร้ชีวิตและมองดูร่างนั้น
เนื่องจากลานประหาร นั้นแออัดไปด้วยนักโทษ พวกผู้หญิงที่อยู่แถวหน้าต้องดูการประหารจากระยะเพียง 1 เมตรหรือ 1 เมตรเศษๆ เท่านั้น หลายครั้งนักโทษหญิงเหล่านี้มักจะโดนเลือดสาดกระเซ็นมาบนพวกเธอ นักโทษบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตจากการเห็นการประหารสาธารณะ อาเจียน เป็นลม ซึ่งนักโทษหญิงพวกนั้นก็จะถูกตั้งข้อหาเช่นกัน โดยตั้งข้อหาเป็น “แสดงออกซึ่งความเห็นใจต่อศัตรูของประชาชน” คนที่วิกลจริตโดยสิ้นเชิงจะหายตัวไป และไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอเหล่านั้น


“ใน เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1985 ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คน พยายามหนีออกนอกประเทศ และถูกจับตัวได้บริเวณภูเขาภายในเขานิคมกักกัน 3 วันถัดมา ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณย่า ลูกชายของเธอ และหลานอีก 3 คน นักโทษทั้งหมดถูกสั่งให้มารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำโดยมีผู้คุมถืออาวุธล้อมรอบ มีปืนกลตั้งอยู่สี่มุมในบริเวณนั้น จากนั้นคุณย่าและลูกชายของเธอก็ถูกแขวนคอ ส่วนหลานอีกสามคนซึ่งล้วนอายุไม่ถึง 10 ขวบถูกยิง ศพของพวกเขาถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน และคลุมด้วยเสื่อฟาง แล้วก็มีนักโทษคนหนึ่งเอาหินขว้างไปที่ศพๆ หนึ่ง ในไม่ช้านักโทษคนอื่นๆ ก็เริ่มเอาหินขว้างบ้าง มันช่างทุเรศและอัปยศยิ่งนัก นักโทษทุกคนต่างกลัวหากไม่ทำเช่นนั้น